“แอล ดับเบิล ยู เอส” ระบุตลาดอสังหาริมทรัพย์พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาสแรกปี 2568 มีจำนวนหน่วยการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 36%(YoY) มูลค่าลดลง 46%(YoY) ผลจากการเปิดตัวบ้านพักอาศัยชะลอตัวลง ในขณะที่การเปิดตัวอาคารชุดเติบโตขึ้นเล็กน้อย
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) ระบุการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ไตรมาสแรก ในปี 2568 ลดลงทั้งด้านจำนวนหน่วยที่เปิดตัวใหม่และมูลค่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567

โดยในเดือน มกราคม-มีนาคม(ไตรมาสแรก) 2568 มีจำนวนโครงการเปิดตัวใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ทั้งสิ้น 51 โครงการ จำนวน 10,062 หน่วย ลดลง 36% เมื่อเทียบกับจำนวนหน่วยเปิดตัว 15,697 หน่วย ในระยะเดียวกันของปี 2567 ในขณะที่มูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่อยู่ที่ 51,268 ล้านบาท ลดลง 46% จากมูลค่าเปิดตัวโครงการ 95,051 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยมีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวที่ 20% เพิ่มขึ้นจากอัตราการขายเฉลี่ยที่ 12% ในปี 2567
เมื่อเทียบสัดส่วนระหว่างไตรมาส (QoQ) ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรกปี 2568 มีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล สะสมเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 ทั้งสิ้น 10,065 หน่วย ลดลง 53% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2567 และมีมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 51,268 ล้านบาทลดลง 61% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 โดยที่ราคาขายต่อหน่วยเฉลี่ย 5.15 ล้านบาท การเปิดตัวโครงการใหม่สะสมไตรมาสแรก ปี 2568 เป็นส่วนของโครงการอาคารชุดพักอาศัย 16 โครงการ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากจำนวนโครงการ 15 โครงการในปี 2567 คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 6,173 หน่วย เพิ่มขึ้น 8% มูลค่า 16,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับจำนวนหน่วยเปิดตัว 5,727 หน่วย และมูลค่าเปิดตัว 14,005 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยมีอัตราการขาย ณ วันเปิดตัวที่ 29% เพิ่มขึ้นจากอัตราการขาย ณ วันเปิดตัวที่ 19% ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ราคาขายเฉลี่ยของอาคารชุดพักอาศัย
ในช่วงปี 2568 อยู่ที่ 2.63 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจากราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 2.45 ล้านบาท ในปี 2567 และมีหน่วยเปิดตัวสูงสุดและขายได้ดีสูงสุดในไตรมาสแรกปี 68 ในทำเลใกล้สถานศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ แบบแคมปัสคอนโด เน้นกลุ่มนักลงทุน นักศึกษา

ในส่วนของการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทจำนวน 14 โครงการ ลดลง 74% มีจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 2,632 หน่วย ลดลง 67% คิดเป็นมูลค่า 10,622 ล้านบาท ลดลง 70% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2567 ที่มีจำนวนโครงการ 53 โครงการ จำนวนหน่วยเปิดตัว 8,074 หน่วยและมูลค่า 35,990 ล้านบาท โดยมีอัตราการขาย ณ วันเปิดตัวโครงการที่ 4% ลดลงจากอัตราการขาย ณ วันเปิดตัวที่ 7% ของระยะเดียวกันของปี 2567 โดยมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 4.04 ล้านบาทต่อหน่วยในช่วงปี 2568 ลดลง 9% จากราคาขายเฉลี่ยที่ 4.46 ล้านบาทต่อหน่วย ในช่วงปี 2567 และเปิดตัวสูงสุดในทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ และขายได้ดีในทำเลเวสต์เกต รูปแบบบ้านพักอาศัยประเภทบ้านแฝดราคา 3-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 5-10 ล้านบาท

และเป็นการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยที่ระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท จำนวน 23 โครงการ จำนวน 1,257 หน่วย ลดลง 4% และ 34% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการ 24 โครงการ จำนวนหน่วยเปิดตัว 1,896 หน่วยในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยมีมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ของปี 2568 ของบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทที่ 24,434 ล้านบาท ลดลง 46% จากมูลค่าการเปิดตัวโครงการที่ 45,056 ล้านบาทในปี 2567 มีอัตราการขาย ณ วันเปิดตัวเฉลี่ยที่ 5% ลดลงจากอัตราการขายเฉลี่ยที่ 9% ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ระดับราคาขายของบ้านระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 19.4 ล้านบาทต่อหน่วย ลดลง 18% จากราคาขายในปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 23.8 ล้านบาทต่อหน่วย โดยมีการเปิดตัวสูงสุดในทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ ขายได้ดีสูงสุดในทำเลวงแหวน-พัฒนาการ ขายดีในกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 10-30 ล้านบาท
(หมายเหตุ : มี 2 โครงการที่มีทั้งโครงการบ้านพักอาศัยระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทและบ้านพักอาศัยราคามากกว่า 10 ล้านบาท อยู่ในโครงการเดียวกัน ทำให้มีการนับจำนวนโครงการซ้ำ)

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสแรก นอกจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัว คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ถึง 2% ในปี 2568 ผลกระทบจากนโยบายภาษีการค้าจากสหรัฐฯ ที่สูงถึง 37% ส่งผลต่อการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชน อีกทั้งธนาคารยังคงให้ความเข้มงวดต่อการอนุมัติสินเชื่อ หนี้ครัวเรือนมีการปรับลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูงที่ 89.6% รวมถึงอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 0.84% รวมทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นกับอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมที่ยังต้องจับตาดูต่อไป แต่ยังมีปัจจัยส่งเสริมภาคอสังหาริมทรัพย์อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ที่ระดับ 50.8 อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงในปี 2568
ขณะที่เดือนมีนาคมได้มีประกาศมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ระยะเวลาจนถึง 30 มิ.ย. 2569 จะกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯ 9 เดือนสุดท้ายของปี 2568 ที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อไป