แอล ดับเบิลยู เอสฯ รายงานการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 7 เดือนแรกปี 2568 มีจำนวนการเปิดตัวลดลง 47% และ มูลค่าการเปิดตัวลดลง 38% เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อภายในประเทศชะลอตัวลง สถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยมีการประกาศลดลงเหลือ 1.50% เมื่อ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา และมีมาตรการผ่อนคลาย LTV และ ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองอยู่ที่ 0.01% ก็ตาม

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวถึง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล สะสม ม.ค.-ก.ค. ของปี 2568 ว่า ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังคงชะลอตัว
ผนวกกับสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมูลค่าการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยครึ่งปีแรก 2568 ลดลง 5.15%(YoY) ถึงแม้จะมีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ และมีมาตรการผ่อนคลาย อัตราส่วนการให้สินเชื่อซื้อบ้านโดยเทียบกับมูลค่า(Loan to Value: LTV) รวมทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง มาอยู่ที่ 0.01% ก็ยังไม่สามารถที่จะกระตุ้นกำลังซื้อได้มากนัก
จากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนจากการเปิดตัวโครงการใหม่สะสม ม.ค.-ก.ค. ของปี 2568 ที่ปรับตัวลดลงทั้งจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการคิดเป็นสัดส่วน 47% และ 38% ตามลำดับเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2567

จากผลการสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล สะสม ม.ค.-ก.ค. ปี 2568 ของ บริษัท แอล. ดับเบิลยู. เอส.ฯ พบว่า มีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในช่วง 7 เดือนแรกทั้งสิ้น 125 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 18,683 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 138,183 ล้านบาท ลดลง 64%, 47%, และ 38% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโครงการ 349 โครงการ จำนวน 35,100 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 221,865 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567
โดยเป็นการเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัยใน 7 เดือนแรกของปี 2568 จำนวน 26 โครงการ จำนวน 8,139 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 31,155 ล้านบาท ลดลง 28%, 41% และ 43% ตามลำดับ จากจำนวนโครงการเปิดใหม่ 36 โครงการ จำนวน 13,868 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 54,330 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในช่วง 7 เดือนของปี 2568 อยู่ที่ 3.8 ล้านบาทต่อหน่วย ลดลง 3% จากราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในระยะเดียวกันของปี 2567 ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ 3.9 ล้านบาทต่อหน่วย


ในขณะที่ การเปิดตัวบ้านพักอาศัยในระดับราคาที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อหน่วย ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 มีจำนวน 45 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 7,181 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ 31,360 ล้านบาท ลดลง 57%, 58%, และ 59% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการที่เปิดตัว 105 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 17,148 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัวใหม่รวม 76,042 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยระดับราคาที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ในช่วง ม.ค.-ก.ค. ของปี 2568 อยู่ที่ 4.4 ล้านบาทต่อหน่วย ลดลง 2% จาก ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 4.5 ล้านบาทต่อหน่วย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
ในขณะมีการเปิดตัวบ้านระดับพรีเมี่ยม ที่ราคาเกิน 10 ล้านบาทต่อหน่วย มีจำนวน 58 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วย 3,363 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 75,668 ล้านบาท ลดลง 8%, 18%, และ 17% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับ จำนวนการเปิดตัวโครงการ 63 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัว 4,084 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัว 91,493 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพรีเมี่ยมในช่วง 7 เดือนปี 2568 อยู่ที่ 22.5 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 0.4% จากราคาขายเฉลี่ยของบ้านพรีเมี่ยมในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ 22.4 ล้านบาทต่อหน่วย

อ่อนนุช-คลองหลวง-เทพารักษ์ กำลังซื้อสูง
ส่วนทำเลที่มีกำลังซื้อสูง จากผลการสำรวจของ แอล.ดับเบิลยู.เอส.ฯ พบว่า สำหรับอาคารชุดพักอาศัยที่เปิดตัวใหม่ในช่วงเดือน ก.ค. ของปี 2568 โครงการในทำเลอ่อนนุช มีกำลังซื้อสูง โดยโครงการอาคารชุดที่เปิดตัวในทำเลดังกล่าวมียอดขาย ณ วันเปิดตัวสูงถึง 31% จากจำนวนหน่วยที่เปิดขาย 408 หน่วย ตามมาด้วยทำเลสาทร-เจริญกรุง ที่มียอดขาย ณ วันเปิดตัวที่ 23% จากจำนวนหน่วยเปิดตัว 338 หน่วย
ในขณะที่ทำเลที่ขายดีสำหรับบ้านพักอาศัยที่ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ที่เปิดตัวในช่วงเดือน ก.ค. ของปี 2568 ได้แก่ ทำเล คลองหลวง จากจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 495 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนขายได้ 14%ของจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งหมดในทำเลนี้ ตามมาด้วยทำเล สุขสวัสดิ์ โดยมีจำนวนหน่วยเปิดตัว 491 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนขายได้ 11% ของหน่วยเปิดตัวทั้งหมดในทำเลนี้


สำหรับบ้านที่ระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท ทำเลเทพารักษ์ มีจำนวนหน่วยที่ขาย ณ วันเปิดตัวได้สูงสุดในช่วงเดือน ก.ค. ของปี 2568 โดยมจำนวนหน่วยที่เปิดขาย 202 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนจำนวนขายได้ 15% เป็นบ้านแบบบ้านเดี่ยว ที่ระดับราคา 10-30 ล้านบาทต่อหน่วย ตามมาด้วย ทำเลกัลพฤกษ์ ที่คิดเป็นสัดส่วน 31% ของจำนวนหน่วยเปิดตัว 62 หน่วย โดยเป็นบ้านในแบบบ้านแฝด ระดับราคา 10-30 ล้านบาท

ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ทั้ง 40 บริษัท พบว่า รายได้รวมและกำไรสุทธิ ของ 40 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ครึ่งปีแรก 2568 มีมูลค่ารวม 131,217.08 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 8,369.92 ล้านบาท ลดลง 15.21% และ 37.17 % ตามลำดับ เมื่อเทียบกับรายได้รวม และกำไรสุทธิ ของ 40 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครึ่งปีแรก 2567 ที่มีมูลค่ารวม 154,767.52 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 13,322.01 ล้านบาท
โดยมีความสามารถในการทำกำไรเฉลี่ยของทั้ง 40 บริษัท ในครึ่งปีแรก 2568 อยู่ที่ 6.37% ดีกว่าไตรมาสแรกของปี 2568 ที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ 5.09% แต่ลดลง จากความสามารถในการทำกำไร ที่ 8.60% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
ขณะที่สินค้าคงเหลือ บวกกับสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของบริษัทอสังหาฯ ทั้ง 40 บริษัท ในครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 725,404.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.89% จาก 718,904.31 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2568
โดย บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) มีสินค้าคงเหลือและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างสูงสุดเมื่อเทียบกับทั้ง 40 บริษัท โดยมีสินค้าคงเหลือและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่ 99,259.40 ล้านบาท
10 บริษัทที่มีรายได้สูงสุด มีส่วนแบ่งตลาดถึง 74.02%
เมื่อพิจารณารายได้รวมของ 10 บริษัทที่มีรายได้สูงสุด พบว่า อยู่ที่ 97,130.65 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 74.02% ของรายได้รวมทั้ง 40 บริษัท ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัท 10 อันดับแรกที่มีกำไรสูงสุดมีมูลค่ารวม 11,141.99 ล้านบาท สูงกว่ากำไรสุทธิรวมของ 40 บริษัท เนื่องจาก มีบริษัทที่ ขาดทุนสุทธิทั้งสิ้น 18 บริษัทจาก 40 บริษัท ฉุดให้กำไรสุทธิรวมของทั้ง 40 บริษัท ต่ำกว่าของ 10 บริษัทที่มีกำไรสูงสุด
โดยบริษัทที่มีรายได้และกำไรสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) และ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)