เข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ปีนี้เป็นปีที่สาหัสสำหรับหลายๆ คน ทำให้เกิดความเครียด หลายคนมีอาการทางจิต และ หลายคนเป็นโรคซึมเศร้า จากรายงานของกรมสุขภาพจิต ระบุว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มการเป็นโรคเครียดและโรคซึมเศร้า เพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 มีจำนวนผู้ป่วยเป็นโรคเครียดและโรคซึมเศร้า เพิ่มขึ้น 5 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2566 และข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า คนไทยป่วยจิตเวชถึง 13.4 ล้านคน โดยโรคที่พบบ่อยคือ โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และ โรคเครียด ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ การทำงาน และ ครอบครัว
ภาวะเครียดที่เกิดขึ้น ทำให้มีการหาแนวทางในการบำบัด รักษา ทั้งโดยการใช้ยา และ ธรรมชาติบำบัด สำหรับแนวทางธรรมชาติบำบัด ในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการนำแนวคิดนี้มาใช้เรียกว่า “การอาบป่า” หรือ ชินริน-โยคุ (Shinrin-yoku) เป็นแนวคิดที่ถือกำเนิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นช่วงปี ค.ศ. 1980 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับภาวะความเครียดและโรคภัยที่เกิดจากวิถีชีวิตคนเมืองที่เร่งรีบ
รัฐบาลจึงมองหาแนวทางเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของประชาชนผ่านการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายอย่างป่าไม้โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสุขภาพกายและใจของผู้คนผ่านการใช้เวลากับธรรมชาติ โดยเฉพาะในป่า หรือ พื้นที่สีเขียว
แนวคิดนี้ไม่ได้หมายถึงการอาบน้ำตามตัวอักษร แต่เป็นการเปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศของป่า ทั้งการสูดกลิ่นไอดินและพืชพรรณ การฟังเสียงนกร้องและลมพัด การมองดูแสงแดดที่สาดส่องลงมาระหว่างกิ่งไม้ และการสัมผัสเปลือกไม้หรือใบไม้

“อาบป่า” ฟื้นฟู ร่างกาย และ จิตใจ
จากผลการทำวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับการอาบป่าจัดทำโดยสถาบันการศึกษาและหน่วยงานด้านสุขภาพและป่าไม้ โดยมีประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านการศึกษาและเผยแพร่ ตัวอย่างเช่นงานวิจัยโดย Dr. Qing Li แห่ง Nippon Medical School ประเทศญี่ปุ่น ตีพิมพ์ในปี 2010 และ สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Institute of Advanced Industrial Science and Technology) ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการอาบป่ากับการทำงานของร่างกายและจิตใจ
- ลดความดันโลหิตและฮอร์โมนความเครียด การอาบป่าช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความเครียดได้
- เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย การสูดดมสารระเหยจากต้นไม้ที่เรียกว่า ไฟตอนไซด์ (Phytoncides) ช่วยเพิ่มการทำงานของ NK Cell (Natural Killer Cell) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งและไวรัส
- ลดความเหนื่อยล้า การอาบป่าสามารถช่วยลดความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายได้ โดยมีผลวิจัยที่บ่งชี้ว่าการใช้เวลาในป่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงสามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายได้จริง
- ลดความเครียดและวิตกกังวล การอาบป่าช่วยลดความรู้สึกเครียด ความโกรธ และความกังวล
- เพิ่มสมาธิและความจำ การใช้เวลาในธรรมชาติช่วยฟื้นฟูความสามารถในการจดจ่อ (Directed Attention) และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
- สร้างอารมณ์เชิงบวก จากการศึกษาผู้เข้าร่วมกิจกรรมการอาบป่ามักรายงานว่ารู้สึกผ่อนคลาย สงบ และมีความสุขมากขึ้นหลังจากใช้เวลาในป่า ซึ่งสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ในระยะยาว
การอาบป่าในพื้นที่เมือง
แนวคิดการอาบป่า (Shinrin-yoku) สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นที่การสร้าง “ช่วงเวลาของการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ” เพื่อลดความเครียดและเพิ่มสุขภาวะทางใจ โดยสามารถฝึกการอาบป่าในพื้นที่สีเขียวใกล้ตัวได้ เช่น สวนสาธารณะ สวนหย่อม หรือแม้แต่ในพื้นที่พักอาศัย โดยมีวิธีดังนี้
- เดินในสวนสาธารณะ ลองใช้เวลาเดินอย่างช้าๆ สังเกตต้นไม้ใบหญ้า ฟังเสียงนก และสัมผัสกับพื้นผิวต่างๆ
- ใช้เวลาในสวนหลังบ้าน หากมีสวนในบ้าน ให้ใช้เวลานั่งเงียบๆ สูดกลิ่นของดอกไม้หรือใบไม้ และสังเกตการเคลื่อนไหวของแมลง
- สร้างพื้นที่สีเขียวในบ้าน ปลูกต้นไม้ในกระถางหรือจัดสวนแนวตั้งภายในบ้าน เพื่อให้คุณได้ใกล้ชิดกับพืชพรรณและได้ดูแลธรรมชาติในทุกวัน
- เปิดหน้าต่างรับแสงและลม ลองเปิดหน้าต่างเพื่อรับแสงแดดและลมจากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้านในช่วงเช้าหรือเย็น ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและเชื่อมโยงกับโลกภายนอก
- สัมผัสกับวัสดุธรรมชาติ ลองสังเกตและสัมผัสพื้นผิวของสิ่งของที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น โต๊ะไม้ โซฟาผ้าลินิน หรือกระเบื้องดินเผา
- จิบชาสมุนไพร การชงชาจากพืชธรรมชาติ เช่น ดอกคาโมมายล์ หรือใบสะระแหน่ และสูดกลิ่นหอมของมัน ก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจสงบลงได้
- การดูภาพและฟังเสียงธรรมชาติ หากไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ลองหาคลิปวิดีโอหรือเสียงจากธรรมชาติ เช่น เสียงน้ำตก หรือเสียงคลื่น และใช้เวลาสักครู่ในการรับฟังอย่างตั้งใจ
การออกแบบพื้นที่ในบ้านที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ

พื้นที่สวนในบ้านหรือแม้แต่มุมเล็กๆในบ้านก็สามารถเป็นพื้นที่อาบป่าเล็กๆของทุกคนได้ เพียงปรับให้มีจุดเชื่อมโยงกับธรรมชาติมากขึ้นด้วยวิธีง่ายๆ เช่น
- การเลือกใช้วัสดุธรรมชาติ การใช้ไม้ หิน และวัสดุที่มาจากธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนประกอบหลักในการก่อสร้างและการตกแต่ง จะช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง และยังสะท้อนถึงความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม
- การนำแสงธรรมชาติเข้ามาใช้ การออกแบบให้มีช่องเปิดขนาดใหญ่ เช่น หน้าต่างบานกว้างหรือหลังคากระจก เพื่อให้แสงธรรมชาติเข้ามาภายในอาคารได้มากที่สุด ช่วยสร้างความรู้สึกโปร่งโล่งและเชื่อมโยงกับโลกภายนอก
- การสร้างพื้นที่สีเขียว การเพิ่มพื้นที่สีเขียวเข้าไปในตัวอาคาร เช่น สวนแนวตั้ง สวนบนดาดฟ้า หรือการจัดสวนภายในบ้าน ช่วยฟอกอากาศและลดอุณหภูมิภายในอาคาร อีกทั้งยังสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น
- การออกแบบเพื่อการเข้าถึงธรรมชาติ การสร้างเส้นทางเชื่อมต่อจากพื้นที่ภายในอาคารไปยังพื้นที่ภายนอก เช่น การทำระเบียง เฉลียง หรือลานกลางแจ้ง จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสามารถออกไปสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างสะดวกสบาย
ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลภาวะ การทำให้บ้านเป็นพื้นที่พักผ่อน เพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ เป็นทางเลือกสำหรับคนเมือง จะบ้านหลังเล็ก หรือ ใหญ่ หรือเป็นห้องชุด ก็ “อาบป่า” เพื่อผ่อนคลายกันได้ ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับปรุงบ้านกันแล้วเป็นยังไง ส่งมาให้ดูกันบ้างนะครับ