แอล ดับเบิลยู เอสฯ ระบุ อโศก-พร้อมพงษ์, รัชดา-พระราม 9, สีลม-สาทร เป็น 3 ทำเลทองในการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของชาวต่างชาติ ที่ต้องการเข้ามาซื้อ และ เช่า เพื่ออยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเครือ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ผลสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนมกราคม ถึง เดือนเมษายน 2568
จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด 446 คน โดยการส่งแบบสอบถามทาง Online และ การลงพื้นที่สำรวจในพื้นที่สุขุมวิท พร้อมพงษ์ และ สาทร โดยเจาะกลุ่มนักธุรกิจ และ คนที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม ให้ความสนใจที่จะอยู่อาศัยในพื้นที่ในเมือง ที่เดินทางสะดวกใกล้แนวรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT ใกล้สถานที่ทำงาน และ มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานครบถ้วน เช่น ร้านอาหาร ศูนย์การค้า และโรงพยาบาล โดย 3 ทำเลแรก ที่ผู้ตอบแบบสอบถามชาวต่างชาติ นิยมเลือกที่จะซื้อ หรือ เช่า ได้แก่ อโศก–พร้อมพงษ์, รัชดา-พระราม 9 และ สีลม-สาทร โดยทั้ง 3 ทำเลต่างมีจุดร่วมที่สำคัญ คือ การเป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์คนเมือง พร้อมอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ความต้องการของชาวต่างชาติได้อย่างดี

จากผลการสำรวจพบว่า กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย 5 ประเทศแรกที่ตอบแบบสอบถาม เป็น ญี่ปุ่น สิงค์โปร์ อังกฤษ จีน และสหรัฐอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน 46% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ที่เหลือได้แก่ ออสเตรเลีย พม่า ฝรั่งเศส อินเดีย เยอรมณี สวีเดน เกาหลีใต้ ไต้หวัน รัสเซีย และ ฮ่องกง เป็นกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 36 ถึง 45 ปี คิดเป็นสัดส่วน 49% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ถัดมาจะมีอายุระหว่าง 55 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 17% และ อายุระหว่าง 25-35 ปี คิดเป็นสัดส่วน 16% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด
วัตถุประสงค์ในการอยู่อาศัยในประเทศไทย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 67% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด เพื่อเข้ามาทำงานและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาในการอยู่อาศัยเฉลี่ย 5-10 นอกจากการเข้ามาอยู่อาศัยเพื่อการทำงานแล้ว ในจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามคิดเป็นสัดส่วน 15% ต้องการมาอยู่อาศัยอย่างถาวรหลังจากเกษียณจากการทำงาน

ภูเก็ต-เชียงใหม่-พัทยา มาแรง
นอกจาก 3 ทำเลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติแล้ว จากผลการสำรวจยังพบว่า ชาวต่างชาติยังให้ความสนใจในการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัด จากผลการสำรวจพบว่า ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา เป็น 3 จังหวัด ที่ได้รับความสนใจจากต่างชาติ เป็นอันดับต้นๆ รองจาก กรุงเทพมหานคร โดย มีสัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่สนใจซื้อ หรือ เช่าที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต คิดเป็นสัดส่วน 9% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ตามมาด้วยจังหวัดเชียงใหม่คิดเป็นสัดส่วน 7% และ พัทยา คิดเป็นสัดส่วน 5% ที่เหลือกระจายไปในพื้นที่จังหวัด ชลบุรี เกาะสมุย ระยอง หัวหิน ปทุมธานี เชียงรายและหาดใหญ่
เหตุผลสำคัญในการสนใจซื้อ หรือ เช่า ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ต่างจังหวัด มีทั้งเป็นแหล่งงาน อาทิ ในพื้นที่จังหวัด ระยอง ชลบุรี ที่มีพื้นที่ใกล้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ในขณะเดียวกันในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ และ เกาะสมุย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย เป็นทำเลที่ชาวต่างชาติ สนใจซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สองเพื่อการเกษียณอายุ
เช่า มากกว่า ซื้อ
จากผลการสำรวจพบว่า ชาวต่างชาติในกลุ่มที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเลือก การเช่ามากกว่าซื้อ โดยจากผลการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามคิดเป็นสัดส่วน 54% เลือกที่จะเช่า มากกว่า ที่จะซื้อ เพราะระยะเวลาในการอยู่อาศัยในประเทศไทยอยู่เพียง 5-10 ปี
อย่างไรก็ตามในกลุ่มที่ต้องการซื้อ คิดเป็นสัดส่วน 46% มีทั้งกลุ่มที่เป็นวัยทำงาน และ กลุ่มที่เกษียณอายุ และ มีครอบครัวอยู่ในประเทศไทย
คอนโดมิเนียม มาแรง
สำหรับประเภทที่อยู่อาศัยที่ ชาวต่างชาติ เลือกในการเช่า หรือ ซื้อ จากผลการสำรวจพบว่า 61% เลือกที่จะเช่า หรือ ซื้อ คอนโดมิเนียม มากกว่า บ้านพักอาศัย อาจจะด้วยข้อจำกัดในการเป็นเจ้าของที่ดินของชาวต่างชาติในประเทศไทย ทำให้ชาวต่างชาติเลือกที่จะเช่าหรือซื้อ คอนโดมิเนียม มากกว่า บ้านพักอาศัย
อย่างไรก็ตามผู้ตอบแบบสอบถามในสัดส่วน 39% เลือกที่จะซื้อบ้านพักอาศัย เนื่องจากบางส่วนเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่มีครอบครัวเป็นคนไทย ที่สามารถใช้สิทธิของสมาชิกในครอบครัวในการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านพักอาศัยได้ โดยรูปแบบของบ้านพักอาศัยที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจจะเป็นบ้านพักอาศัยรูปแบบ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ
สำหรับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจซื้อจะอยู่ที่ระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาท ไปจนถึงไม่เกิน 10 ล้านบาท สำหรับห้องชุดขนาดตั้งแต่ 30-100 ตารางเมตร ในแบบ 1-2 ห้องนอน และค่าเช่าเฉลี่ยที่ระดับราคา 10,000-30,000 บาทต่อเดือน โดยพื้นที่ภายในต้องมีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน มีห้องทำงานตอบโจทย์การ Remote Working ห้องรับแขก ห้องครัว และระเบียงที่กว้างเพียงพอสำหรับพักผ่อน ในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดมิเนียม จะถูกใจในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพและการพักผ่อนเป็นหลัก อย่าง ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวน และ เล้าจน์พักผ่อน สิ่งที่น่าสังเกตคือชาวต่างชาติส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นแบบ Pet-Friendly เนื่องจากไม่ได้นำสัตว์เลี้ยงมาอยู่ด้วยหรือไม่ต้องการภาระเพิ่มเติมในการดูแล
“จากผลการสำรวจจะเห็นได้ว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติในประเทศไทย จะให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบทำเลที่พักอาศัย และ ให้ความสำคัญกับที่พักอาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และ ต่างชาติ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย เมื่อเทียบกับกำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัวจากความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทย จึงเป็นโอกาสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่จะพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์กับความต้องการของชาวต่างชาติ ในทำเลที่ตอบโจทย์กับความต้องการ เพื่อสร้างกำลังซื้อใหม่เข้ามาสู่ตลาด” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว















