BIM-FM แนวคิดการบริหารทรัพยากรอาคารในอนาคต

BIM-FM คือ ความท้าทายใหม่ที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานฝั่ง FM ด้วยการสนับสนุนจาก BIM เพื่อก้าวสู่ยุค Digital Transformation ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

วันที่

ธันวาคม 13, 2021

ผู้เขียน

พงศ์ภารดี ศิริสหวัฒน์ (Building Technology & Innovation)

Contract: [email protected], [email protected]

แม้ว่าเทคโนโลยี BIM จะถูกกล่าวถึงในแง่ของการช่วยยกระดับการทำงานในภาคอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นจนจบ หรือที่เรียกกันว่า Building Life Cycle ของโครงการ แต่ในประเทศไทย BIM ยังไม่ถูกนำมาใช้งานในด้าน Facility Management (FM) สักเท่าไหร่ ทำให้สองสิ่งนี้ยังคงถูกพูดถึงว่าเป็นคนละโลกกันอย่างสิ้นเชิง แต่นับว่าแนวคิดของการนำ BIM เข้ามาประสานรวมกับกระบวนการทำงานทางด้าน Facility Management ก็เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้นและถูกพัฒนาให้เข้าใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

การก้าวไปอีกขั้นของ BIM และ FM

BIM เป็นเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการทำงานภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างหรือภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในกระบวนการทำงาน แต่การนำเอา BIM มาใช้งานจริงในประเทศไทยนั้น ยังคงมีกรอบการทำงานที่จำกัดอยู่แค่ช่วงการออกแบบ (Design Phase) และช่วงการก่อสร้าง (Construction Phase) เท่านั้น นั่นหมายความว่าหลังจากนั้น BIM จะไม่ได้ถูกนำไปใช้งานอย่างต่อเนื่องตลอด Life Cycle ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ BIM อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดแนวคิด BIM-FM ขึ้น โดยเป็นการผลักดันให้นำเทคโนโลยี BIM เข้ามาสนับสนุนกระบวนการทำงานในช่วงการบริหารจัดการ (Operation Phase) เพื่อพัฒนาอนาคตของ BIM และ FM ให้ก้าวไปสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยสิ่งสำคัญที่เป็นตัวผลักดันและขับเคลื่อนแนวคิดนี้ให้ประสบผลสำเร็จนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ บุคลากร, กระบวนการทำงาน และเทคโนโลยี

การนำเทคโนโลยี BIM เข้ามาใช้ในช่วงของการออกแบบและก่อสร้างในประเทศไทย เริ่มมีให้เห็นอย่างแพร่หลายแล้ว โดยเริ่มจากเจ้าของธุรกิจ (Owner) เล็งเห็นศักยภาพของ BIM ที่ส่งผลกับธุรกิจของตนเอง ทำให้เกิดการปลูกฝังแนวคิดผ่านนโยบายภายในองค์กร ด้วยเหตุเช่นนี้ผู้ร่วมทำงาน ไม่ว่าจะเป็น สถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมา รวมไปถึงฝั่ง Supplier ก็ล้วนแล้วแต่นำ BIM เข้ามาปรับใช้ภายในองค์กรของตน จนแทบจะต้องเป็นทักษะขั้นพื้นฐานที่ทุกฝ่ายจำเป็นต้องมีเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพที่สามารถแข่งขันภายในตลาดได้

แต่จะเห็นได้ว่ามี Case Study ในประเทศไทยจำนวนน้อยมาก ที่นำ BIM ไปใช้หลังจากช่วงก่อสร้างแล้วเสร็จ หรือที่เรียกว่า ช่วงบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก (Facility Management) เหตุผลหลักที่เป็นตัวฉุดรั้งศักยภาพของ BIM ไม่ให้ไปถึงฝั่ง FM ก็มีหลากหลายปัจจัย เช่น เจ้าของธุรกิจยังไม่เห็นความสำคัญและความคุ้มค่ากับการลงทุนกับ BIM ในช่วงบริหารจัดการมากพอ หรือ FM Manager ยังไม่เห็นประโยชน์จาก BIM กับงานฝั่งของตน เพราะเพียงแค่ระบบที่ใช้ทำงานในปัจจุบันก็เพียงพอต่อการทำงานแล้ว แต่นั่นทำให้รอยต่อของสองโลกนี้กลับยิ่งห่างจากกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นก้าวไปอีกขั้น ด้วยการประสานสองโลกระหว่าง BIM กับ FM เข้าด้วยกัน จึงต้องเริ่มจากการปลูกฝังความเชื่อมั่นว่า BIM สามารถเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาให้งานฝั่ง FM ก้าวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงทุกฝ่ายต้องเห็นความสำคัญของ Digital Information เสียก่อน

การทำงานทางฝั่ง FM แบบเก่าหรืออาจเรียกว่าในแบบปัจจุบันนี้ แทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับ BIM หรือ 3D Model เลย เนื่องจาก FM ก็มี Software System ที่เป็นระบบการทำงานเฉพาะทาง และมีมาตรฐานการทำงาน เพียงแค่แบบ 2D และข้อมูลจากผู้รับเหมาหรือจากการเก็บสำรวจในสถานที่จริงก็อาจจะเพียงพอสำหรับการทำงานอยู่แล้ว ซึ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นยังไม่รวมภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเติมจากการนำ BIM เข้ามาปรับใช้กับ FM ไม่ว่าจะเป็นค่าต้นทุนของการอบรมพนักงาน ค่าซอฟท์แวร์ ค่าอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นค่าต้นทุนและเวลาที่ต้องเสียไปจริง ๆ แต่หากมองว่าสิ่งนี้เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจใหม่ ๆ การเติบโตและความอยู่รอดของธุรกิจ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับโครงสร้างของกระบวนการทำงาน ปรับกลยุทธ์ให้ตอบรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ทางฝั่ง FM จำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการทำงานตั้งแต่ช่วงวางแผน ช่วงออกแบบ ช่วงพัฒนาแบบ และช่วงก่อสร้าง เนื่องจาก FM จะเข้าใจในข้อมูลที่จำเป็นต่อการบริหารโครงการนั้นเป็นอย่างดี เพราะ BIM ไม่เพียงแค่เป็น 3D Model แต่ BIM คือ โมเดลที่มีข้อมูลประกอบอยู่ในนั้น โดยข้อมูลที่ดีที่สุดไม่ใช่ข้อมูลที่มีมากมายมหาศาล แต่คือข้อมูลเท่าที่จำเป็น เหมาะสมกับโครงการนั้น ๆ และสามารถนำไปใช้งานในอนาคตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

จาก Conceptual Framework เกี่ยวกับกระบวนการทำงานตามแผนภาพด้านบน จะเห็นว่า FM ไม่จำเป็นที่จะมีบทบาทหลังส่งมอบอาคาร (Handover) แต่สามารถเข้ามามีบทบาทได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มวางแผนเลยก็ได้ เนื่องจากแต่ละโครงการมีข้อมูลที่จำเป็นแตกต่างกันออกไป การให้ FM เข้ามาร่วมวางแผนกลยุทธ์การเก็บข้อมูลตั้งแต่เริ่ม จะส่งผลดีต่อมาตรฐานการทำงานในช่วงออกแบบหรือก่อสร้าง เพราะผู้ออกแบบนั้นจะมีแนวทางของการเขียน Model และใส่ข้อมูลเท่าที่จำเป็น ซึ่งเป็นการลดเวลาและการทำงานที่ซ้ำซ้อนอีกด้วย

ทั้งทางฝั่งผู้ออกแบบ ก่อสร้าง และบริหารจัดการอาคาร ต่างมีระบบหรือซอฟต์แวร์สำหรับทำงานเฉพาะทางของตน ส่งผลให้การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นไปได้ค่อนข้างยาก นอกจากจะต้องปรับแนวคิดการทำงานแล้ว ยังต้องปรับกลยุทธ์และเครื่องมือในการทำงานใหม่แทบทั้งหมด ซึ่งจากที่กล่าวมาผู้ที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องคงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวอย่างมาก และอาจจะทำให้เสียเวลาในการเริ่มทำความเข้าใจกระบวนการใหม่ทั้งหมด แต่ด้วยการพัฒนา BIM ที่มองว่าสามารถใช้ประโยชน์ตลอด Life Cycle ทำให้มีมาตรฐานกลางต่าง ๆ ที่ไว้ใช้แลกเปลี่ยนการทำงานของแต่ละฝ่าย ทำให้ไม่ว่าจะใช้ Software หรือ Platform ใดก็สามารถใช้มาตรฐานกลางนี้เป็นเหมือนสะพานเชื่อมทั้ง 3D Model และ ข้อมูล อีกทั้งทางฝั่งผู้พัฒนา FM Software ก็ได้พัฒนาระบบให้รองรับมาตรฐานกลางที่ BIM ไว้ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูล ทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่ทำงานบนระบบ BIM นั้น FM Software ก็สามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน โดยที่ฝั่ง FM ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน Interface การทำงานให้ยุ่งยากและอาจทำให้สับสนกับเครื่องมือที่ไม่คุ้นเคยได้ ด้วยการสร้าง API หรือช่องทางเพื่ออัพเดทข้อมูลทั้งทางฝั่ง BIM ไปยัง FM และฝั่ง FM กลับเข้าสู่ BIM หรือที่เรียกว่า Bi-Direction เพื่อให้ BIM สนับสนุนการทำงานทั้งการจัดการงานซ่อมบำรุง การบริหารสถานที่ การวางแผนกลยุทธ์ รวมถึงการ Visualization และ Simulation อื่น ๆ นอกจากนั้นข้อมูลจาก FM ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกี่ยวกับอุปกรณ์และสถานที่จะถูกอัพเดทกลับมาที่ BIM Model แบบ Real-time สำหรับนำไปใช้ต่อในอนาคต เช่น การปรับปรุงอาคาร (Renovation) หรือการรื้อถอน (Demolition)

บทความที่เกี่ยวข้อง

BMR Real Estate Outlook 1H 2025
BMR Real Estate Outlook 1H 2025

แอล ดับเบิลยู เอสฯ คาดตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง 2568 ยังชะลอตัว

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ว่า ยังคงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งเป็นผลมาจาก.....

ตกแต่งบ้านตามปรัชญา “ฮุกกะ”

ปี 2566 ผ่านมาแล้ว 6 เดือน หลายคนเริ่มทบทวนแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปีว่าทำอะไรสำเร็จตามแผนไปแล้วบ้าง เหลืออะไรที่ต้องทำ รวมทั้งการปรุงปรุงที่อยู่อาศัยรับกับหน้าฝนที่กำลังมาเยือน วันนี้ LWS เลยอยากนำแนวคิดในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่เรียกว่า “ฮุกกะ (Hygge)”

คอนโดฯเกือบ 200 แห่ง ต้องออกแบบตามเกณฑ์อาคารประหยัดพลังงานที่มีผลบังคับใช้ปี 2566

คอนโดฯ เกือบ 200 แห่งในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ต้องออกแบบตามเกณฑ์อาคารประหยัดพลังงานที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2566 ส่งผลต้นทุนก่อสร้างเพิ่ม 5% แต่สามารถประหยัดค่าพลังงานได้ไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี ระยะเวลาคืนทุน 3.5 ปี